article

Jun 25, 2025

แพทย์แนะนำ: หน้าเหี่ยว หน้าอวบ หน้าเต็ม เทคนิคดูแลผิวหน้าต่างกันอย่างไร

หลายคนเข้าใจว่าเทคนิคหรือวิธีการดูแลต่าง ๆ สามารถใช้ร่วมกันได้ในทุกปัญหา แต่ในความเป็นจริงแล้ว “รูปหน้าที่แตกต่างกัน” ต้องการการดูแลที่แตกต่างกันอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นใบหน้าที่ มีริ้วรอยชัดเจน, ใบหน้าที่ดูบวมอวบ ไม่กระชับ หรือใบหน้าที่ดูเต็ม แต่ไร้มิติ

เมื่อพูดถึงการดูแลผิวหน้า หลายคนอาจเข้าใจว่าเทคนิคหรือวิธีการดูแลต่าง ๆ สามารถใช้ร่วมกันได้ในทุกปัญหา แต่ในความเป็นจริงแล้ว “รูปหน้าที่แตกต่างกัน” ต้องการการดูแลที่แตกต่างกันอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นใบหน้าที่เริ่มหย่อนคล้อย มีริ้วรอยชัดเจน (หน้าเหี่ยว), ใบหน้าที่ดูบวมอวบ ไม่กระชับ (หน้าอวบ), หรือใบหน้าที่ดูเต็ม ตึงแน่น แต่ไร้มิติ (หน้าเต็ม) ล้วนมีลักษณะทางกายภาพที่แตกต่างกัน และต้องอาศัยเทคนิคที่เหมาะสมต่อแต่ละประเภทเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดูดีและเป็นธรรมชาติที่สุด

บทความนี้จึงรวบรวมแนวทางที่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังและความงามใช้ในการวิเคราะห์ และวางแผนดูแลใบหน้าที่มีลักษณะต่างกัน เพื่อให้คุณเข้าใจหลักการเบื้องหลังการเลือกหัตถการแต่ละชนิด และสามารถประเมินตนเองได้ว่า แนวทางใดเหมาะกับใบหน้าของคุณมากที่สุด

ทำความเข้าใจลักษณะใบหน้าทั้ง 3 ประเภท

ก่อนจะพูดถึงเทคนิคการดูแล สิ่งแรกคือการเข้าใจความแตกต่างระหว่าง “หน้าเหี่ยว”, “หน้าอวบ” และ “หน้าเต็ม” ให้ชัดเจน

  • หน้าเหี่ยว: ผิวหนังเริ่มบางลง ขาดความยืดหยุ่น เห็นริ้วรอยชัด มักเกิดในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป หรือผู้ที่ลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว ผิวจึงดูหย่อนคล้อยและโทรม
  • หน้าอวบ: มีลักษณะใบหน้าที่มีชั้นไขมันสะสมมาก โดยเฉพาะบริเวณแก้ม คาง คอ แม้ผิวยังเต่งตึงแต่โครงหน้าไม่ชัด ทำให้หน้าดูใหญ่หรือบวม
  • หน้าเต็ม: ใบหน้าดูตึงแน่น ไม่มีร่องหรือริ้วรอยมากนัก แต่ไม่มีมิติ ใบหน้าดูแข็ง ขาดความอ่อนโยน อาจเกิดจากการฉีดสารเติมเต็มมากเกินไป หรือโครงสร้างใบหน้าแต่เดิมที่เน้นความหนาแน่นของกระดูกและไขมัน

แต่ละลักษณะไม่ได้บอกว่า “ดี” หรือ “ไม่ดี” ทั้งหมดอยู่ที่ความสมดุล ความเหมาะสม และความต้องการของแต่ละบุคคล สิ่งสำคัญคือการเลือกดูแลให้ตรงจุดเพื่อเสริมจุดแข็งและแก้จุดอ่อนอย่างเหมาะสม

เทคนิคดูแล “หน้าเหี่ยว” ฟื้นฟูความยืดหยุ่นให้ผิว

การดูแลใบหน้าที่เหี่ยว ไม่ใช่เพียงแค่การเติมเต็ม แต่ต้องเน้นการฟื้นฟูผิวให้กลับมาแน่นกระชับ มีความยืดหยุ่น โดยเทคนิคหลัก ๆ ที่แพทย์มักแนะนำ ได้แก่:

  1. การกระตุ้นคอลลาเจนด้วยคลื่นเสียงหรือคลื่นวิทยุ เช่น โปรแกรม Ultherapy Prime และ โปรแกรม Thermage FLX ที่สามารถลงลึกถึงชั้น SMAS และ Dermis เพื่อให้ผิวกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ คืนความกระชับจากภายในสู่ภายนอก โดยไม่ต้องผ่าตัด
  2. การเติมความชุ่มชื้นและความแน่นผิวด้วย Skin Booster เช่น โปรแกรม Profhilo หรือ โปรแกรม Juvelook ที่ช่วยฟื้นฟูคุณภาพผิว ให้ผิวดูฟู อิ่มน้ำ และลดริ้วรอยจาง ๆ ได้อย่างเป็นธรรมชาติ
  3. การใช้ฟิลเลอร์เติมบางจุด เช่น ขมับ ใต้ตา หรือร่องแก้ม โดยใช้เทคนิคที่เน้นความเป็นธรรมชาติ ไม่เน้นความปริมาณมาก แต่เน้นโครงสร้างและการพยุงผิว
  4. การใช้โปรแกรมลดริ้วรอยแบบ soft lift เพื่อคลายกล้ามเนื้อบางกลุ่ม ช่วยยกมุมปาก หางตา หรือคิ้ว ให้ใบหน้าดูสดใสขึ้นโดยไม่แข็งตึง

การดูแลประเภทนี้ต้องอาศัยความแม่นยำของแพทย์สูง เพราะใบหน้าเหี่ยวมักมีปริมาณเนื้อที่ลดลง การแก้ไขต้องระวังไม่ให้กลายเป็นหน้าแข็ง หรือเติมเกินจนกลายเป็นหน้าเต็ม

เทคนิคดูแล “หน้าอวบ” ปรับโครงหน้าให้กระชับและชัดเจน

หน้าอวบแม้จะยังไม่เหี่ยวย่น แต่ปัญหาหลักคือความไม่ชัดของแนวกรอบหน้า แก้มย้อย และไขมันสะสมตามจุดต่าง ๆ เทคนิคที่เหมาะกับกลุ่มนี้คือ: 

  1. การยกกระชับด้วย Ultherapy Prime หรือโปรแกรม HIFU ซึ่งช่วยลดความหย่อนคล้อยของผิว พร้อมกระชับไขมันใต้ชั้น SMAS โดยไม่กระทบต่อผิวชั้นนอก 
  2. การลดไขมันเฉพาะจุด เช่น การฉีดเมโสแฟต หรือการใช้โปรแกรม HIFU ที่ออกแบบมาเพื่อลดไขมันแก้มและคางโดยเฉพาะ 
  3. การทำโปรแกรมลดกราม ในบางกรณีที่กล้ามเนื้อบดเคี้ยวหนา ช่วยให้แนวกรามดูเรียวขึ้น และทำให้รูปหน้าโดยรวมดูกระชับขึ้น 
  4. การเติมโปรแกรมฟิลเลอร์บางจุดเพื่อจัดโครงหน้า เช่น คาง หรือแนว Jawline ซึ่งช่วยให้ใบหน้าดูยาวขึ้น และดึงความสนใจจากบริเวณแก้มได้ 

แพทย์ที่ดีจะไม่เติมอะไรเพิ่มในหน้าอวบ แต่จะเน้น “ลด” และ “กระชับ” เพื่อให้ใบหน้าเข้ารูป โดยคงไว้ซึ่งความอ่อนเยาว์และความละมุนของผิว

เทคนิคดูแล “หน้าเต็ม” สร้างมิติและความพอดี

หน้าเต็มมักเกิดจากการมีเนื้อเยอะ โครงสร้างใหญ่ หรือในบางกรณีเกิดจากการเติมฟิลเลอร์ในอดีตที่มากเกินไป ทำให้ใบหน้าเสียสมดุลและขาดมิติ การดูแลกลุ่มนี้จึงเน้นการ “จัดสมดุล” มากกว่าการเติมอะไรใหม่เข้าไป 

  1. การละลายฟิลเลอร์เก่า (ถ้ามี) หากใบหน้าแน่นเกินจากการฉีดในอดีต อาจต้องละลายบางจุดก่อนเริ่มดูแลใหม่ 
  2. การใช้คลื่นเสียงเพื่อปรับชั้นผิว เช่น โปรแกรม Ultherapy Prime ที่ช่วยยกผิวให้เข้าที่ ลดอาการแน่นเกิน และปรับผิวให้ดูยืดหยุ่นขึ้น 
  3. การลดกล้ามเนื้อใบหน้า เช่น บริเวณแก้มล่าง กราม หรือกรอบหน้า เพื่อปรับรูปหน้าให้ดูนุ่มนวลลง 
  4. การวางโครงสร้างใหม่ด้วยโปรแกรมฟิลเลอร์อย่างมีชั้นเชิง ไม่ได้เติมเพิ่มเพื่อให้เต็มขึ้น แต่เติมเพื่อให้มีแสงเงา มีจุดนำสายตา เช่น บริเวณสันจมูก คาง หรือใต้ตา เพื่อให้หน้าเต็มดูมีมิติมากขึ้น 
  5. การปรับสัดส่วนใบหน้าโดยรวม เช่น ในบางคนที่หน้าสั้น อาจเติมคางหรือหน้าผากเพื่อสร้างสัดส่วน 1:1:1 ตามหลักความงามสากล

หัตถการเดียวกัน ใช่ว่าจะใช้ได้กับทุกหน้า

การดูแลผิวหน้าที่ถูกต้องไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ามีเครื่องมืออะไร แต่ขึ้นอยู่กับว่าใช้เครื่องมืออย่างไร และกับใคร การเข้าใจลักษณะของใบหน้าตัวเองจะช่วยให้เลือกแนวทางการดูแลที่ตรงจุด ไม่เสียเงินโดยใช่เหตุ และไม่ต้องแก้ไขซ้ำหลายรอบในภายหลัง

เทคโนโลยีในปัจจุบัน เช่น โปรแกรม Ultherapy Prime, โปรแกรม Thermage FLX, โปรแกรม Juvelook, โปรแกรม Profhilo, โปรแกรมลดริ้วรอย และโปรแกรมฟิลเลอร์ ล้วนมีศักยภาพสูงมาก แต่หัวใจของผลลัพธ์ที่ดีอยู่ที่ “การวิเคราะห์” และ “การออกแบบ” การรักษาโดยแพทย์ที่มีความเข้าใจลึกซึ้งในกายวิภาคและศาสตร์ของการปรับรูปหน้า

สุดท้าย ไม่ว่าคุณจะเป็นคนหน้าเหี่ยว หน้าอวบ หรือหน้าเต็ม ความงามที่แท้จริงไม่ใช่การทำให้เหมือนคนอื่น แต่คือการรักษาเสน่ห์ของตัวเองเอาไว้ และเสริมให้ดูดีที่สุดในแบบของคุณเอง